ภาพตัดต่อแสดงแผ่นหลังคนถูกไฟไหม้ อาคารพังทลาย และควันไฟที่ปล่อยออกมาจากการระเบิด

80 ปีหลังเหตุการณ์ฮิโรชิมาและนางาซากิ: วิทยาศาสตร์และต้นทุนด้านมนุษยธรรมจากการทิ้งระเบิดปรมาณู

คำเตือน: เรื่องนี้มีภาพที่น่าตกใจและคำอธิบายเกี่ยวกับผลกระทบของอาวุธนิวเคลียร์

“80 ปีผ่านไป แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

นี่คือความคิดเห็นของผู้รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิดที่นางาซากิ เกี่ยวกับการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ ปล่อยออกมาเพื่อทำลาย 2 เมืองของญี่ปุ่นในเดือน ส.ค. 1945

“เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของเราเลย และวันนี้เรามีความเสี่ยงมากกว่าในอดีต” มาซาโกะ วาดะ กล่าวกับบีบีซี ปัจจุบัน วาดะเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ นิฮง ฮิดังเคียว (Nihon Hidankyo) องค์กรซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2024 เธอเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์และสนับสนุนให้มีการรับฟังคำให้การของผู้รอดชีวิตเช่นเธอ

โทชิโอะ ทานากะ มีอายุเพียง 6 ขวบ ตอนมีการทิ้งระเบิดที่เมืองฮิโรชิมา และเธอก็มีความหวาดกลัวไม่ต่างไปจากวาดะ

เธอบอกว่า ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ เช่นที่เกิดขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลาง ทำให้ภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ยังคงอยู่ ซึ่งทำให้เธอ "กังวลใจอย่างยิ่ง"

“หากเรายังดำเนินไปบนเส้นทางแห่งสงครามต่อไป มันอาจนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และนำไปสู่การสิ้นสุดของโลก” ทานากะกล่าวในการสัมภาษณ์กับบีบีซี ไม่กี่วันก่อนวันครบรอบ 80 ปีเหตุการณ์โจมตีญี่ปุ่น

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่ให้ใช้ระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิยังคงเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้

undefined
GETTY GETTY

นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่า นี่เป็นขั้นตอนอันจำเป็นเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วยชีวิตผู้คน

ขณะที่บางส่วนโต้แย้งว่า มันเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง และเป็นการคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์หลายหมื่นคนไปโดยไม่จำเป็น

แต่สิ่งที่ไม่อาจโต้แย้งได้คือผลกระทบอันยาวนานจากการโจมตีเหล่านี้

นี่คือบันทึกเรื่องราวการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ และผลที่ตามมาซึ่งยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้

ภาพถ่ายแสดงมุมมองจากทางอากาศของเมืองฮิโรชิมาก่อนเกิดการระเบิด

ฮิโรชิมา

แผนที่แสดงที่ตั้งเมืองฮิโรชิมา

เมื่อถึงช่วงฤดูร้อนของปี 1945 สหรัฐฯ ก็ได้ทำสงครามกับญี่ปุ่นมาเป็นเวลา 3 ปีครึ่งแล้ว หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ในหมู่เกาะฮาวายอย่างกะทันหันเมื่อ 7 ธ.ค. 1941

การโจมตีดังกล่าวกระตุ้นให้รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ จึงตัดสินใจใช้ระเบิดปรมาณูโจมตีญี่ปุ่น

26 ก.ค. 1945 ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน แห่งสหรัฐฯ ยื่นคำขาดเรียกร้องให้ญี่ปุ่น "ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข" ไม่เช่นนั้นญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับ "การทำลายล้างอย่างรวดเร็วและสิ้นเชิง"

ข้อความของทรูแมนไม่ได้กล่าวถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์

อย่างไรก็ตาม ระเบิดปรมาณูเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคลังอาวุธที่สหรัฐฯ เตรียมไว้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการยุติความขัดแย้ง

อินโฟกราฟิกแสดงชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นระเบิดลิตเติลบอย

ฮิโรชิมาเป็นเป้าหมายแรก เมืองนี้ไม่เคยถูกโจมตีจากระเบิดครั้งก่อน ๆ และยังมีฐานทัพทหารด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่านี่เป็นบททดสอบพลังทำลายล้างของระเบิดลูกนี้

เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ชื่อ อีโนลา เกย์ (Enola Gay) ซึ่งบังคับโดยพันเอกพอล ทิบเบตส์ กำลังบินอยู่เหนือเมืองฮิโรชิมาที่ระดับความสูงประมาณ 9.5 กิโลเมตร ก่อนปล่อยระเบิดยูเรเนียม-235 ที่มีรหัสว่า “ลิตเติลบอย” (Little Boy) ซึ่งระเบิดกลางอากาศที่ระดับความสูงจากพื้นดินประมาณ 600 เมตร

"ตอน 08.15 น. ฉันกำลังไปโรงเรียน แล้วก็มีคนตะโกนว่า 'เครื่องบินทิ้งระเบิดของข้าศึก!'" โทชิโอะ ทานากะ เล่า "ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นแสงวาบขนาดใหญ่ ราวกับมีไฟเป็นล้านดวง ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด"

กลไกภายในของลิตเติลบอยทำงานเหมือนปืน โดยยิงยูเรเนียม-235 ชิ้นหนึ่งใส่อีกชิ้นที่ทำจากวัสดุเดียวกัน

เมื่อพวกมันชนกัน นิวเคลียสของอะตอมที่ประกอบกันเป็นพวกมันจะแตกออกจากกันในกระบวนการที่เรียกว่าปฏิกิริยาฟิชชัน

ปฏิกิริยาแตกตัวของนิวเคลียสที่เรียกว่าฟิชชันนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ซึ่งปลดปล่อยพลังงานออกมา ส่งผลให้เกิดการระเบิด

ลิตเติลบอยบรรทุกยูเรเนียม-235 จำนวน 64 กิโลกรัม ซึ่งคาดว่ามีเพียงประมาณ 1.4% เท่านั้นที่เกิดปฏิกิริยาฟิชชัน

แต่ถึงกระนั้น การระเบิดครั้งนี้ก็มีพลังเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที (TNT) 15,000 ตัน

เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง ทีเอ็นทีเพียง 1 กิโลกรัมก็เพียงพอที่จะทำลายรถยนต์ได้ 1 คัน

ระเบิดปรมาณูที่ระเบิดเหนือเมืองฮิโรชิมา

การระเบิดดังกล่าวก่อให้เกิดคลื่นความร้อนสูงกว่า 4,000 องศาเซลเซียสในรัศมีประมาณ 4.5 กิโลเมตร

“ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ต่างแทบจะเปลือยกาย มีเพียงเสื้อผ้าที่ถูกไฟไหม้ พวกเขาเดินอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเหยียดแขนออกไป ผิวหนังล้วนถูกไฟไหม้และลอกหลุดจากปลายนิ้ว” ทานากะ ย้อนรำลึก

“พวกเขาเหมือนผีหรือซอมบี้”

มีการคาดการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตในวันที่เกิดการระเบิดประมาณ 50,000-100,000 คน

undefined

อาคาร 2 ใน 3 ของเมือง หรือราว 60,000 หลัง ถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง

ภาพทางอากาศของเมืองฮิโรชิมาที่ถูกทำลาย
ทหารสังเกตการณ์อาคารในเมืองฮิโรชิมาที่ถูกทำลายลง
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าอาคารในเมืองฮิโรชิมาที่ถูกทำลายลง

แต่ญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมจำนน


ในอีก 3 วันถัดมา สหรัฐฯ ทิ้ง ระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่ 2

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นเมืองนางาซากิ

นางาซากิ

แผนที่แสดงให้เห็นที่ตั้งของเมืองนางาซากิและโคคุระ

ตอนแรกเมืองนางาซากิไม่อยู่ในรายชื่อเป้าหมายที่สำคัญสำหรับภารกิจทิ้งระเบิดครั้งที่ 2

ภูมิประเทศที่ขรุขระและความที่มันใกล้กับค่ายกักกันเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ที่นี่กลายเป็นเป้าหมายรอง

หนึ่งในเป้าหมายหลักคือเมืองโคคุระ ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเขตเมืองบนภูมิประเทศที่ค่อนข้างราบเรียบ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิด โคคุระถูกปกคลุมไปด้วยหมอกและควัน ตามรายงานของนักบิน

ลูกเรือได้รับคำสั่งให้กวาดสายตาเลือกเป้าหมายทางเลือกที่จะเพิ่มศักยภาพของระเบิดให้สูงสุด

แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไปยังนางาซากิ

บ็อคสการ์ (Bockscar) เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 ที่บังคับโดยพันตรีชาร์ลส์ สวีนีย์ ได้ทิ้งระเบิดที่มีรหัสว่า “แฟตแมน” (Fat Man) ซึ่งระเบิดที่ความสูง 500 เมตรเหนือพื้นดิน

อินโฟกราฟิกแสดงชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นระเบิดแฟตแมน

ระเบิดดังกล่าวทำจากพลูโตเนียม-239

แม้ว่าพลูโตเนียม-239 จะหาได้ง่ายกว่ายูเรเนียม-235 และระเบิดลูกนี้มีพลูโตเนียม-239 น้อยกว่าที่ลิตเติลบอยมียูเรเนียม-235 มาก แต่แฟตแมนต้องใช้กลไกซับซ้อนกว่าลิตเติลบอยในการทำงาน

พลูโตเนียม-239 ไม่ใช่สารบริสุทธิ์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อนกำหนดซึ่งอาจลดทอนศักยภาพของระเบิดได้

มีการใช้กลไกการระเบิดเข้าด้านในเพื่อจุดระเบิดก่อนที่การแตกตัวโดยไม่ตั้งใจจะเกิดขึ้น

ระเบิดดังกล่าวมีพลูโตเนียมอยู่ราว 6 กิโลกรัม แต่คาดว่ามีเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้นที่เกิดปฏิกิริยาฟิชชัน

มันเพียงพอที่จะปลดปล่อยพลังงานเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 21,000 ตัน

วิดีโอระเบิดนางาซากิ

"ร่างกายถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากอาคารที่พังทลายลง เนื้อหนังของผู้คนร่วงกราวและมีไส้ทะลักออกมา... สถานที่แห่งนี้กลายเป็นทะเลเพลิง มันคือนรก" สุมิเทรุ ทานิกูจิ ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่นางาซากิ เล่าเมื่อปี 2015 ในงานรำลึกครบรอบ 70 ปีเหตุการณ์โจมตี

ระเบิดครั้งนี้รุนแรงกว่าที่เมืองฮิโรชิมา แต่ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของนางาซากิซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหุบเขา 2 แห่ง ได้ช่วยจำกัดพื้นที่ที่ถูกทำลาย

แผนที่แสดงรัศมีการทำลายล้างที่เมืองนางาซากิ

ในเมืองนางาซากิ ระเบิดได้ทำลายพื้นที่กว่า 7.7 ตารางกิโลเมตร ส่งผลให้เมืองเกือบ 40% กลายเป็นซากปรักหักพัง

“ผู้คนหลายร้อยคนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส โดยไม่สามารถได้รับการรักษาพยาบาลใด ๆ เลย” เทรุมิ ทานากะ ผู้รอดชีวิตจากนางาซากิและผู้อำนวยการร่วมของนิฮง ฮิดังเคียว เล่าในระหว่างรับรางวัลโนเบลในปี 2024

“ฉันรู้สึกอย่างเข้มข้นว่าแม้แต่ในช่วงสงคราม การฆ่าและการทำร้ายร่างกายเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น”

ภาพมุมสูงของการทำลายล้างที่นางาซากิหลังจากการระเบิด
อาคารถูกทำลายลงหลังเกิดการระเบิดที่นางาซากิ
รูปปั้นท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองนางาซากิ

ไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดเกี่ยวกับจำนวนผู้คนทั้งหมดที่เสียชีวิตจากระเบิดทั้ง 2 ครั้ง ไม่ว่าจะเสียชีวิตทันทีจากการระเบิด หรือเสียชีวิตในช่วงหลายเดือนต่อจากนั้น เนื่องจากได้รับบาดเจ็บและผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี

การประมาณการแบบอนุรักษนิยมที่สุดระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในทั้ง 2 เมืองอยู่ที่ประมาณ 110,000 รายภายในเดือน ธ.ค. 1945

ขณะที่การศึกษาวิจัยอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าจำนวนเหยื่อทั้งหมดอาจเกิน 210,000 รายภายในสิ้นปีนั้น

ภาพการลงนามยุติสงครามของญี่ปุ่น

โตเกียว

ภายหลังเหตุการณ์ทิ้งระเบิดที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้สงคราม

จักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงมีพระราชดำรัสต่อประชาชนทั่วประเทศเมื่อ 15 ส.ค. 1945 โดยทรงกระตุ้นให้ประชาชนชาวญี่ปุ่น "อดทนต่อสิ่งที่ไม่อาจทนทานได้" และยอมรับความพ่ายแพ้

ต่อมา 2 ก.ย. 1945 มีการลงนามยอมแพ้อย่างเป็นทางการบนเรือยูเอสเอส มิสซูรี ในอ่าวโตเกียว

ด้วยเหตุนี้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงสิ้นสุดลง

ความโหดร้ายของระเบิด

ภายในเสี้ยววินาทีหลังการระเบิด ระเบิดปรมาณูได้ปล่อยรังสีแกมมา นิวตรอน และรังสีเอกซ์ ซึ่งเป็นอนุภาคที่มองไม่เห็นที่สามารถเดินทางได้ไกลถึง 3 กิโลเมตร โจมตีทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วย

ระเบิดที่ฮิโรชิมาคร่าชีวิตผู้คนในรัศมี 600 เมตรจากจุดศูนย์กลางไป 92%

ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูซึ่งเรียกขานในภาษาญี่ปุ่นว่า “ฮิบะคุฉะ” (hibakusha) ต้องทนทุกข์ทรมานจากผลกระทบอันเลวร้ายจากความร้อนและรังสีที่รุนแรง

หลายคนได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟไหม้จนผิวหนังฉีกขาดจากร่างกาย

ภาพแสดงให้เห็นแขนของหญิงรายนี้ถูกเผาไหม้
GETTY GETTY

การสัมผัสกับสารกัมมันตรังสี ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เลือดออก และผมร่วง

เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนบางคนเกิดต้อกระจกและเนื้องอกร้าย

ในช่วง 5 ปีหลังการโจมตี ผู้รอดชีวิตประสบปัญหาสุขภาพระยะยาว จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในฮิโรชิมาและนางาซากิเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ภาพหมอกำลังเช็ดตัวให้เด็กหลังถูกระเบิด
GETTY GETTY

10 ปีหลังเหตุการณ์ระเบิด ผู้รอดชีวิตจำนวนมากป่วยเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด โดยมีอุบัติการณ์สูงกว่าปกติ

ผลกระทบทางจิตใจก็รุนแรงไม่แพ้กัน ผู้ป่วยฮิบะคุฉะหลายคนต้องเผชิญกับความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เลวร้ายที่พบเจอ การสูญเสียคนที่รัก และความกลัวที่จะเจ็บป่วยจากรังสีตกค้าง

อินโฟกราฟิกแสดงผลกระทบระยะกลางและระยะยาวของรังสี ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ ผมร่วง ต้อกระจก

หลายคนต้องทนทุกข์กับการถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกและความเชื่อที่ว่าพวกเขานำโรคติดต่อมาด้วย

ขณะที่อีกหลายคนมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้ง เพราะไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้

ชีวิตหลังระเบิด

ชุนทาโร ฮิดะ, ผู้รอดชีวิตจากฮิโรชิมา

“ผมรักษาคนไข้ไปประมาณ 6,000 คน หรืออาจจะ 10,000 คน หลังจากนั้น ผมก็ไม่อยากจะประกอบอาชีพหมออีกต่อไป ทุกคนที่ผมเจอล้วนเสียชีวิตลงทีละคน ไม่มีใครที่ผมสามารถช่วยชีวิตได้อีกแล้ว”

ชุนทาโร ฮิดะ, ฮิโรชิมา

ยาสุอากิ ยามาชิตะ, ผู้รอดชีวิตจากนางาซากิ

"ผมคิดว่าพวกเราผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ"

ยาสุอากิ ยามาชิตะ, นางาซากิ

เคโกะ โอกุระ, ผู้รอดชีวิตจากฮิโรชิมา

"คนเกือบทั้งหมดแค่ขอ ‘น้ำ’ และบอกว่า ‘ช่วยฉันด้วย’ ฉันรีบวิ่งเข้าบ้านที่มีบ่อน้ำอยู่ แล้วเอาน้ำไปให้ พวกเขาขอบคุณฉัน แต่บางคนก็กำลังดื่มน้ำและอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็ตายลงต่อหน้าฉัน ฉันรู้สึกเสียใจและกลัวมาก บางทีฉันอาจจะฆ่าพวกเขาไปแล้ว ? ฉันฆ่าพวกเขาหรือ ?"

เคโกะ โอกุระ, ฮิโรชิมา

โทชิโอะ ทานากะ, ผู้รอดชีวิตจากฮิโรชิมา

“ฉันสามารถพูดถึงประสบการณ์เลวร้ายนี้ตอนอายุถึง 70 ปีแล้วเท่านั้น ก่อนหน้านั้นฉันมีบาดแผลทางจิตใจที่ลึกมาก และคิดว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจฉัน”

โทชิโอะ ทานากะ, ฮิโรชิมา

ปัจจุบันฮิโรชิมาและนางาซากิเป็นเมืองอุตสาหกรรมและการค้าที่สำคัญ

ทั้ง 2 เมืองมีจัตุรัสอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เหยื่อของการทิ้งระเบิดปรมาณู

ชาวฮิบะคุฉะบางคนกลายเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ โดยแบ่งปันเรื่องราวของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าความน่ากลัวของสงครามจะไม่มีวันถูกลืม

ข้อความหลักของพวกเขาคือ "ยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ทันที" ดังที่ เทรุมิ ทานากะ กล่าวไว้ในสุนทรพจน์รับรางวัลโนเบลของเขา

ทานากะกล่าวถึงระเบิดปรมาณูว่าเป็น "อาวุธสังหารหมู่ที่ไร้มนุษยธรรม ซึ่งไม่ควรปล่อยให้อยู่ร่วมกับมนุษยชาติ"

ปัจจุบันมีหัวรบนิวเคลียร์เกือบ 12,300 หัวทั่วโลก ตามรายงานของกลุ่มรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อการยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์ (ICAN)

กลุ่มฮิบะคุฉะปฏิเสธทฤษฎีการป้องปรามสงครามด้วยนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าการผลิตและภัยจากการตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์สามารถป้องกันการโจมตีและรักษาสันติภาพได้

มาซาโกะ วาดะ เป็นหนึ่งในผู้ที่คัดค้านภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายอย่างหนักดังกล่าว

“ฉันจะไม่มีวันยอมรับแนวคิดการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อควบคุมและทำร้ายผู้คน” เธอกล่าว

"นั่นหมายความสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฮิโรชิมาและนางาซากิอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง"

ตามข้อมูลของวาดะ ในปัจจุบันเหลือผู้รอดชีวิตเพียงไม่ถึง 100,000 คน โดยตอนนี้พวกเขาล้วนมีอายุราว 90 ปีแล้ว

“ทุกปีมีคนตายประมาณ 10,000 คน” เธอกล่าว “ดังนั้นในอีก 10 ปีข้างหน้า จะไม่มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อปี 1945 เหลืออยู่อีกแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของเธอไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสูญเสียความทรงจำที่ยังมีชีวิตกลุ่มนี้เท่านั้น

“สิ่งที่ฉันกลัวคือก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น เราจะได้เจอกับฮิบะคุฉะคนใหม่เสียก่อน”

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2020 และได้รับการปรับปรุงด้วยบทสัมภาษณ์ใหม่เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีเหตุการณ์ระเบิด