นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ซึ่งตอนนั้นอายุ 28 ปี ขับรถเฟอร์รารีชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิตโดยลากร่างตำรวจนายนี้ไปกว่า 200 เมตร ราว 5.30 น. ที่ช่วงปากซอยสุขุมวิท 47 แล้วหลบหนีไปที่บ้านพักเลขที่ 9 ซ.สุขุมวิท 53
ตำรวจระดับสารวัตรป้องกันปราบปราม สน.ทองหล่อนำตัวคนดูแลบ้านอยู่วิทยาไปมอบตัวโดยระบุว่าเขาเป็นคนขับรถชนตำรวจตาย แต่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาเป็นคนขับรถจริง เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในขณะนั้นต้องลงพื้นที่เพื่อติดตามนายวรยุทธมามอบตัว และในที่สุดนายวรยุทธเข้ามอบตัวที่ สน.ทองหล่อในเวลา 10.30 น.
หลังจากเข้ามอบตัวในวันเดียวกัน มีการนำตัวเข้าห้องสอบสวนราว 6 ชม. โดยให้การภาคเสธและยอมรับว่าขับรถสปอร์ตหรูไปประสบอุบัติเหตุจริง แต่ผู้เสียชีวิตขี่รถจักรยานยนต์ปาดหน้าทำให้หักหลบไม่ทัน นอกจากนี้ นายวรยุทธยังอ้างว่าเกิดความเครียดหลังขับรถชน จึงไปดื่มแอลกอฮอล์ในภายหลัง
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำผู้ก่อเหตุไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่ รพ.สมิติเวช แล้วได้แจ้งข้อกล่าวหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ตำรวจไม่คัดค้านประกันตัว จึงให้ประกันตัวออกไปในวงเงินประกัน 5 แสนบาท
นายจารุชาติ มาดทอง เข้าให้การเป็นพยานว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์อุบัติเหตุขณะที่เขาขับรถกระบะส่งของ แต่เขาไม่ได้ระบุถึงความเร็วของรถยนต์หรูที่นายวรยุทธขับในวันนั้น
ทนายของนายวรยุทธขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหา
ผลตรวจเลือดโดยสาขาวิชานิติเวชวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงสารแปลกปลอมที่พบในร่างกาย ของ นายวรยุทธ ว่ามีทั้งหมด 4 ชนิด ในจำนวนนี้มี 2 ชนิด (Benzoyleegorine และ Cocaethylene) ที่เป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือด ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลังจากการเสพโคเคน
จนท. เรียกตัวผู้ต้องหาให้มารับทราบข้อกล่าวหาเมาแล้วขับเพิ่มเติม
นายวรยุทธ พร้อมผู้ติดตาม เข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ และข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หลังผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและผลของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานออกมาว่านายวรยุทธขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ระบุว่าได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ว่าจะนำส่งสำนวนคดีนายวรยุทธต่ออัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ซึ่งระบุถึงผลการตรวจพบสารเสพติดในร่างกายในสำนวน
อัยการมีความเห็นแย้ง เห็นควรสั่งฟ้องเป็น 4 ข้อหา รวมทั้งฟ้องข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่ไม่สั่งฟ้องข้อหาขับรถขณะเมาสุรา เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานทางคดีบ่งชี้ว่ามีการกระทำผิด
2 ข้อหาขาดอายุความ ประกอบด้วย 1) ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และ 2) ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ทั้งสองข้อหามีอายุความ 1 ปี
ทีมทนายของนายวรยุทธมีการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในคดีหลายครั้ง ในหลายหน่วยงานรวมถึง คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดที่มี พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานด้วย
พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในตำรวจพิสูจน์หลักฐานและผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับ มีการคำนวณหาความเร็ววิธีใหม่ได้ความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับขี่ประมาณ 79.23 กม./ชม. แต่สำนักข่าวอิศราระบุว่า ไม่ปรากฏข้อมูลความเร็วของรถยนต์ที่ 177 กม./ชม. ในสำนวนของอัยการ
1. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอายุความ 15 ปี จำคุกไม่เกิน 10 ปี แต่ต่อมาอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ฟ้อง ข้อหาจึงตกไป
2. ข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร ซึ่งมีอายุความ 5 ปี
ส่วนข้อหา ขับรถเร็วและเมาแล้วขับ พนักงานสอบสวนไม่สั่งฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
นายวรยุทธมอบอำนาจให้ทนายความมายื่นหนังสือกับพนักงานอัยการขอเลื่อนคดี อ้างว่าติดธุระอยู่ต่างประเทศ พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีจึงเลื่อนไปวันที่ 25 พ.ค. 2559
นายวรยุทธไม่มาพบพนักงานอัยการ พนักงานอัยการจึงมีหนังสือแจ้งไปที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ไปดำเนินการติดตามเอาตัวผู้ต้องหาเพื่อส่งฟ้องต่อศาล แต่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ แจ้งว่าผู้ต้องหาได้ขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานอัยการออกไปก่อน เนื่องจากได้ไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมที่ กมธ.กฎหมายฯ สนช. เพื่อขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม
พล.ต.ท. ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ระบุว่า นายวรยุทธได้เดินทางออกจากประเทศ ก่อนหน้าที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะออกหมายจับ โดยเบื้องต้นปลายทางในการเดินทางคือ ประเทศสิงคโปร์ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเดินทางต่อไปยังประเทศอะไรต่อไปหรือไม่
ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับนายวรยุทธ ในข้อหาชนแล้วหนี และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หลังจากเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้องพนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้เป็นครั้งที่ 8 โดยอ้างว่าติดภารกิจในต่างประเทศ
สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเปิดเผยว่าได้บรรจุชื่อของนายวรยุทธอยู่ในบัญชีดำ เพื่อตรวจตามจุดผ่านแดนทุกจุดของประเทศ เพื่อที่จะเปิดทางให้ สตม. จับกุมตัวทันที หากพบตัวตามจุดผ่านแดนต่าง ๆ
ทางการสิงคโปร์เปิดเผยว่านายวรยุทธไม่ได้อยู่ในประเทศ หลังจากตำรวจไทยเปิดเผยว่าเขาเดินทางออกจากกรุงเทพฯ โดยเครื่องบินส่วนตัวไปสิงคโปร์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการกงสุลได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของนายวรยุทธ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้องขอ
ข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควรหมดอายุความ หลังจากครบกำหนด 5 ปี
เว็บไซต์ตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) เผยแพร่หมายจับ “หมายแดง” นายวรยุทธ บนเว็บไซต์
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าหมายจับของนายวรยุทธยังคงอยู่ในระบบเพียงแต่ไม่ได้แสดงผลบนหน้าเว็บไซต์ของอินเตอร์โพล
มีการเรียกพยานเข้ามาให้ข้อมูลในคดีเพิ่ม 2 ปาก ประกอบด้วยนายจารุชาติ มาดทองและพล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร โดยระบุว่า ด.ต.วิเชียร ขับรถตัดหน้า โดยการเปลี่ยนเลนกระทันหันจากช่องทางซ้ายมาเป็นช่องทางที่ 2 หรือเลนกลาง และมีรายงานว่าเขากล่าวถึงความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับว่าไม่เกิน 80 กม./ชม.
มีหนังสือลงนามโดย พ.ต.ท.ธนาวุฒิ สงวนสุข รักษาการ ผกก.สน.ทองหล่อ ถึงนายวรยุทธ แจ้งเรื่องอัยการสูงสุดไม่ฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา และได้ถอนหมายจับแล้ว
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัย พล.ต.ต.กฤษฎิ์ เปียแก้ว อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 กับนายตำรวจรวม 7 นาย กรณีช่วยเหลือนายวรยุทธ ไม่ให้ถูกดำเนินคดี ข้อหาขับรถขณะเมาสุรา และข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งไม่ออกหมายจับ จนเป็นเหตุให้หลบหนีได้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงกรณีเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น รายงานว่าอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ ทุกข้อหา ขณะที่ตำรวจไม่ทำความเห็นแย้งอัยการสูงสุด ทำให้คดีเป็นอันสิ้นสุด
อัยการสูงสุดตั้งคณะทำงานตรวจสอบกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องทายาทกระทิงแดง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกระบวนการทำงานของข้าราชการตำรวจในการพิจารณาสำนวนคดีนายวรยุทธ โดยมีพล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็นประธาน ประกอบด้วยคณะกรรมการ 10 คน ทำงานในกรอบเวลา 15 วัน
ในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 225/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาดังกล่าว โดยมี ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธานกรรมการ
ขณะที่ ครอบครัวอยู่วิทยาอีกสายออกจดหมายเปิดผนึกกดดันให้ ครอบครัวของนายวรยุทธ อยู่วิทยา แสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังตระกูลอยู่วิทยาเผชิญกระแสลบ “จนเกินกว่าจะแบกรับ”
นายจารุชาติ มาดทอง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในจ.เชียงใหม่ ทั้งนี้เขาเป็นพยานปากสำคัญในคดีที่นายวรยุทธ ในคดีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อเสียชีวิต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอายัดศพของนายจารุชาติ มาดทอง เพื่อชันสูตรพลิกศพอีกครั้งอย่างละเอียด หลังจากสังคมมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นเหตุฆาตกรรมอำพราง เนื่องจากเขาเสียชีวิตเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ว่าอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในขณะที่สื่อหลายสำนักรายงานว่า นายจารุชาติมีความเกี่ยวพันกับนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีต ส.ว.เชียงใหม่และรู้จักกับทางตระกูล “อยู่วิทยา” เป็นผู้สนับสนุนให้ทีมฟุตบอล ขณะที่นายจารุชาติเคยทำงานด้วย แต่นายชูชัยปฏิเสธ
คณะทำงานตรวจสอบกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ “บอส” อยู่วิทยา ผู้ต้องหาหนีคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ที่แต่งตั้งโดยอัยการสูงสุด (อสส.) ระบุคำสั่งไม่ฟ้องทายาทกระทิงแดงเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด แต่พบพยานหลักฐานเพิ่มเติมใน 2 ประเด็น คือ ความเร็วรถและยาเสพติด ที่สามารถดำเนินคดีทายาทกระทิงแดงต่อได้ ประกอบด้วย การดำเนินการ 2 ประการ คือ ประการแรกจะแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทสอง (โคเคน) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ในมาตรา 58 และ 91 และประการที่สอง จะให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ทำการสอบสวนใหม่ในประเด็นขับรถโดยประมาทซึ่งอายุความเหลืออีก 7 ปี
นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการต่ออัยการสูงสุด เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจในการสั่งสำนวนคดีนี้ และเป็นการแสดงความรับผิดชอบแก่องค์กร
หลังครบ 13 วันตามกรอบการทำงาน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีอัยการและตำรวจสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบข้อบกพร่องอย่างน้อย 4 ประการในสำนวนที่ตำรวจส่งให้อัยการ จึงเตรียมเสนออัยการรื้อคดีใหม่ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องและการใช้ดุลพินิจไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของ พล.ต.ท. เพิ่มพูล ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร.
ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติออกหมายจับนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส 3 ข้อหา ได้แก่ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ และเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 โดยมี “อายุความ 15 ปี”
หลังจากครบ 30 วันตามกรอบการทำงาน นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่นายวรยุทธ ได้นำรายงานฉบับสมบูรณ์จำนวน 100 หน้าให้แก่พล.อ.ประยุทธ์
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่นายวรยุทธ ซึ่งมีนายวิชา เป็นประธานได้เสนอ 5 แนวทางต่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อให้เริ่มกระบวนการสอบสวนคดีนี้ใหม่เพื่อความถูกต้อง หลังพบข้อบกพร่องในสำนวนคดี มีการประวิงเวลาและใช้พยานหลักฐานเท็จ
ทางการไทยได้แจ้งตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลให้ออกหมายแดงสำหรับนายวรยุทธ
ตำรวจไทยเตรียมทำเรื่องขอให้ส่งตัวนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา กลับมาดำเนินคดีที่ไทย โดยประสานความช่วยเหลือไปยังประเทศสมาชิกของอินเตอร์โพลจะช่วยระบุว่าปัจจุบันนายวรยุทธหลบหนีคดีไปพำนักอยู่ที่ใด